วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

DRU Model

D : การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (Diagnosis of Needs)

ขั้น D : การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (Diagnosis of Needs) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้
                     1 . ใช้คำถามกระตุ้นความคิดในการกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (specifying learning goals) เพื่อให้ผู้เรียนระบุว่าหน่วยการเรียนรู้หรือบทเรียนนั้น ๆ มีความรู้และทักษะอะไร ผู้เรียนจะต้องระบุความรู้ในรูปของสารสนเทศ (declarative knowledge) และระบุทักษะการปฏิบัติหรือกระบวนการ (procedural knowledge) ข้อมูลที่ได้จะต้องมีความชัดเจนทั้งในเรื่องของจุดมุ่งหมาย และระดับคุณภาพของการเรียนรู้ กล่าวโดยสรุป จุดมุ่งหมายการเรียนรู้จะถูกระบุว่า ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้อะไร และหรือสามารถทา อะไรได้ 
                     2.  ใช้คำถามเพื่อให้ผู้เรียนคิดระดับพัฒนาการในการเรียนรู้ เป็นการออกแบบการเรียนรู้ โดยอาศัยแนวคิดการกำหนดเกณฑ์คุณภาพเป็นค่าระดับตามโครงสร้างการสังเกตผลการเรียนรู้ (structure of observed learning out - come : SOLO Taxonomy) การวางกรอบการประเมินการเรียนรู้ จะช่วยให้มั่นใจว่าการจัดการเรียนการสอนหรือเรียนรู้ตรงตามจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้อันส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ 
                     3.  ผู้เรียนออกแบบการเรียนรู้หรือเลือกกลยุทธ์การเรียนรู้ของตนเอง ที่คาดว่าจะช่วยให้ ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงความมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่จุดมุ่งหมายการเรียนรู้เป็นความรู้ความเข้าใจ (ตามแนวคิดบลูมส์) กิจกรรมการเรียนรู้ก็อาจใช้ สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็นการอ่าน (หนังสือ คู่มือ ฯลฯ) หรือการฟัง (การบรรยาย อธิบาย ฯลฯ) เป็นต้น ในกรณีที่จุดมุ่งหมายเป็นการพัฒนาความคิดขั้นสูง (วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสรรค์ ) กิจกรรมการเรียนรู้ก็อาจใช้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เชิงสังคม (social constructivist) อาทิ การเรียนรู้ แบบร่วมมือกัน (cooperative learning) กลยุทธ์การเรียนรู้แบบทำงานเป็นทีม ฯลฯ  
                     สรุป ขั้นแรกของ DRU Model ผลผลิตที่ได้จากขั้นตอน D : การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (Diagnosis of Needs) คือ การระบุเป้าหมายการเรียนรู้  (goal setting relative to learning task)



R : ขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้


(Research into identifying effective learning environments)


ขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ ได้นำแนวคิด การวิจัยในกระบวนการ เรียนรู้”  “สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้” มาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ ดังนี้
1. ใช้คำถามเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (specifying learning goals) คือผลการเรียนรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ระดมสมองเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้แสวงหาแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ การจัดสภาพแวดล้อมให้บรรยากาศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน เป็นต้น
2. ใช้คำถามสร้างความคิดเกี่ยวกับ กิจกรรมการเรียนรู้ (learning activity) ในการเรียนรู้ผู้เรียนต้องเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเองเสมอ ความสำคัญในการเรียนรู้อยู่ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรมากกว่าที่จะบอกว่าผู้สอนสอนอะไรหรือทำอะไร การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ – ปฏิบัติภาระงาน/ กิจกรรมตามที่วิเคราะห์และออกแบบการเรียนรู้ไว้เป็นการวางแนวทางเพื่อการเรียนรู้ซึ่งหมายถึง การกระทำใดๆ ที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้บรรลุจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ผู้เรียนมีการกำกับติดตามตนเองเพื่อให้ได้ความรู้ (monitoring the execution of knowledge)  
3. ใช้คำถามกระตุ้นผู้เรียนใช้กระบวนการวิจัยเพื่อสืบเสาะหาความรู้จากการศึกษาจากฐานข้อมูลความรู้ /หนังสือ หรือแหล่งสืบค้นออนไลน์  โดยระบุภาระงานในการ สืบค้นรายบุคคลหรือกลุ่ม และมอบหมายงาน/ภาระงานรายบุคลหรือกลุ่มแล้วแต่กรณี ร่วมกันวางแนวทางการประเมินด้วยการระบุคุณภาพการเรียนรู้เป็นวิถีทางที่จะนำผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ จากการวัดผลการเรียนรู้ของตนเอง และช่วยให้ผู้เรียนสามารถกำกับติดตามได้อย่าง กระจ่างชัด (monitoring clarity) 
4. ใช้คำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบทบทวนการเรียนรู้ของตนเอง อาทิ ผู้เรียนจะทำอะไร หรือปฏิบัติอย่างไร ที่แสดงว่าผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้” “ผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์ (วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสรรค์) กับแหล่งเรียนรู้อย่างไร” “ผู้เรียนจะได้รับหรือมีส่วนร่วมในการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นั้นๆ อย่างไร”  คำถามดังกล่าวนี้จะช่วยในการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนเองซึ่งเป็นแนวทางกำกับติดตามที่ถูกต้องแม่นยำ (monitoring accuracy) จากนั้น ผู้เรียนร่วมกันสรุป และวิพากษ์ เป็นการนำเสนอความรู้โดยใช้ภาษา/คำพูดของตนเอง 
สรุป ขั้น ของ DRU Model ผลผลิตที่ไดจากขั้น R : การวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้  (Research into identifying effective learning environments ) คือ ผลผลิตที่ได้จากขั้นตอนนี้เรียกว่า การเรียนรู้พัฒนา Meta Cognition

 




U : การตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้


(Universal Design for Learning and Assessment)


ขั้นตอนการตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้ (U-Universal Design for Learning and Assessment) นำแนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล ร่วมกับแนวคิดโครงสร้างการสังเกตผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Structure of Observed Learning Outcome : SOLO Taxonomy) มาเป็นแนวคิดในการสร้างเกณฑ์ระดับคุณภาพของพัฒนาการการเรียนรู้ ดังนี้
1. ใช้คำถามกระตุ้นให้คัดตรวจสอบทบทวนเกี่ยวกับความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าจุดหมายการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับบริบทและหรือให้สารสนเทศพื้นฐานของเนื้อหาสาระ หัวข้อ สำคัญของบทเรียนหรือหน่วยการเรียน และจุดหมายดังกล่าวเหมาะสมกับท้องถิ่น และสะท้อนมาตรฐานของชาติหรือไม่
2. ใช้คำถามที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้แล้ว โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐาน การเลือกกิจกรรมที่ผู้เรียนจะได้รับโอกาสเพื่อความสำเร็จตามหลักสูตรประเมินจุดเด่น/จุดด้อยของตนเอง สะท้อนพัฒนาการการเรียนรู้และเสนอแนะแนวทางการแก้ไข
3. ใช้คำถามเกี่ยวกับช่องทางหรือวิธีการที่ผู้เรียนจะให้ข้อมูลย้อนกลับมาเพื่อประเมินในระหว่างเรียนและเพื่อผู้เรียนได้ประเมินตนเอง ร่วมกันประเมินการเรียนรู้ตามหลักสูตรและการบรรลุมาตรฐานของชาติ
4. ใช้คำถามเกี่ยวกับเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน และข้อมูลย้อนกลับ โดยรวม เพื่อนำไปวางแผนการจัดระดับคุณภาพ และหรือตัดสินผลการเรียนที่การประเมินความรู้ ไม่ได้มาจากแบบทดสอบเท่านั้น แต่มาจากประเมินการปฏิบัติจากชิ้นงานตามระดับคุณภาพ SOLO Taxonomy แบบประเมินผลงาน /ชิ้นงาน (ตามเกณฑ์การประเมินที่กำหนดไว้ในขั้นการวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (Diagnosis of Needs) – คำถามเพื่อให้ผู้เรียนคิดระดับพัฒนาการในการเรียนรู้เป็นการออกแบบการเรียนรู้  
The SOLO taxonomy คือการกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งไม่มุ่งเน้นเฉพาะการสอนและการให้คะแนนจากผลงานเท่านั้น  ให้ความสำคัญข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการเรียนการสอนในปัจจุบัน สื่อการเรียนรู้ ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้เรียนในชั้นเรียน การประเมินความสามารถของผู้เรียนแบ่งเป็น 5 ระดับ ดังนี้
1. ระดับโครงสร้างขั้นพื้นฐาน (Pre-structure ) นักเรียนจะได้ข้อมูลเป็นส่วนๆ ที่ไม่ปะติดปะต่อกัน ไม่มีการจัดการข้อมูลและความหมายโดยรวมของข้อมูลไม่ปรากฏ
2. ระดับโครงสร้างเดี่ยว (Uni-structure) ผู้เรียนเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานง่ายต่อการเข้าใจ แต่ไม่แสดงความหมายของความเกี่ยวโยงข้อมูล
3. ระดับโครงสร้างหลากหลาย (Multi-structure) ผู้เรียนเชื่อมโยงข้อมูลหลายๆ ชนิดเข้าด้วยกัน ความหมายของความสัมพันธ์ระหว่างความเกี่ยวโยงไม่ปรากฏ
4. ระดับความสัมพันธ์ของโครงสร้าง (Relational Level) ผู้เรียนแสดงความสัมพันธ์ของความเกี่ยวโยงข้อมูลได้ ผู้เรียนแสดงความสัมพันธ์ของความเกี่ยวโยงของข้อมูล และภาพรวมทั้งหมดได้
5. ระดับแสดงความต่อเนื่องในโครงสร้างภาคขยาย (Extended Abstract Level) ผู้เรียนเชื่อมโยงข้อมูลนอกเหนือจากหัวเรื่องที่ได้รับ ผู้เรียนสามารถสรุปและส่งผ่านความสำคัญและแนวคิดที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรณีตัวอย่าง การนำ SOLO taxonomy มาใช้เป็นแนวการประเมินผลการเรียนรู้เป็นการกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ของผู้เรียน จะช่วยให้ทราบถึงพัฒนาการการเรียนรู้ระหว่างเรียน (Formative) เพื่อที่จะได้หาวิธีการแก้ไข ปรับปรุงวิธีการสอนและวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนที่โดยไม่ได้มุ่งเน้นการให้คะแนนจากผลงานทั้งจากผู้สอนและผู้เรียนเพียงเท่านั้น สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนา Meta cognition ที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ปฏิบัติจากสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้ทั้ง ครูผู้สอนและผู้เรียนเองเกิดความกระจ่างชัดในเป้าหมายการเรียนรู้ และมีการกำกับติดตาม กระบวนการเรียนรู้ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ปัญญาที่มีความซับซ้อนก่อให้เกิดพัฒนาการการ เรียนรู้
สรุปได้ว่า การดำเนินการตามขั้น U: Universal Design for learning (การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล : UDL) เป็นขั้นที่ให้นักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิตประเมินตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยันความถูกต้อง และมีการกำกับติดตามซึ่งการกำกับติดตามนั้นมีความถูกต้องแม่นยำ (Monitoring Accuracy) ผลผลิตตามขั้นตอนนี้คือ ผลประเมินการเรียนรู้ตามแนวคิด SOLO Taxonomy ซึ่งเป็นการระบุแนวทางการประเมินการเรียนรู้ตามระดับคุณภาพการเรียนรู้ โดยกำหนดระดับคุณภาพการเรียนรู้ไว้ 4 ระดับ คือ
ระดับการเรียนรู้เท่ากับ SOLO 1 = ต่ำ หมายถึง ระดับความจำ–ความเข้าใจ 
SOLO 2 = ปรับปรุง หมายถึง ระดับการนำไปใช้-การประยุกต์ใช้
SOLO 3 = ปานกลาง/พอใช้ หมายถึง ระดับการเรียนรู้ในระดับสร้างสรรค์ (ความรู้ที่เกิดจาก ตนเอง) 
SOLO 4 = สูง หมายถึง ระดับMeta cognitive System (ความรู้ระดับอภิปัญญา/การรู้คิด)

ที่มา : อ.ดร.นฤมล  ปภัสสรานนท์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี

การจัดการขั้นเรียนเเละสิ่งเเวดล้อมการเรียนรู้

การจัดการชั้นเรียนเเละสิ่งเเวดล้อมการเรียนรู้
ความหมายของการจัดการชั้นเรียน 
               การจัดการชั้นเรียน  คือ การจัดสภาพของห้องเรียน ทางด้านกายภาพหรือการตกแต่งห้องเรียนด้วยวัสดุตกแต่งเพื่อเป็นการจูงใจนักเรียนให้มีความสนใจและตั้งใจเรียน  นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการจัดการชั้นเรียนเท่านั้น  หากแต่ต้องมีการสร้างสรรค์และเอาใจใส่สภาพบรรยากาศภายในห้องเรียนด้วยเช่นกัน    ครูจึงเป็นบุคคลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในการรับหน้าที่เป็นผู้สร้างและส่งเสริมกระบวนการเรียนการสอน  กระตุ้นความใฝ่รู้และใส่ใจในการศึกษาของผู้เรียน  สร้างความมีระเบียบวินัยให้กับผู้เรียน  อีกทั้งต้องคงสภาพสิ่งแวดล้อมเหล่านี้เพื่อช่วยให้การสอนในชั้นเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลแก่ผู้เรียนอย่างยั่งยืน  
ความสำคัญของการจัดการชั้นเรียน
         จะพบว่าการบริหารจัดการชั้นเรียนเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ อันจะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนและการร่วมกิจกรรมต่างๆ ภายในห้องเรียน และนำไปสู่การประสบความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลสูงสุดการจัดการชั้นเรียนมีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ คือ
        - การเรียนรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้หรือเกิดได้น้อยถ้ามีสิ่งรบกวนในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลาด้วยปัญหาทางด้านพฤติกรรมของนักเรียน
        - นักเรียนที่อยู่ในชั้นเรียนที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งแวดล้อมในชั้นเรียนมีเสียงดังและสิ่งรบกวน หรือการจัดที่นั่งไม่เหมาะสมอาจเกิดสาเหตุให้เกิดปัญหาทางวินัยนำไปสู่การแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว หรือทำให้นักเรียนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
        - การกำหนดคุณลักษณะพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของนักเรียนไว้ล่วงหน้าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจัดการชั้นเรียน เพราะจะทำให้นักเรียนมีแนวทางในการควบคุมพฤติกรรมของตนเองโดยไม่แสดงอาการหรือพฤติกรรมที่จะเป็นการรบกวนการเรียนของผู้อื่น
        - ชั้นเรียนที่มีการจัดการกับพฤติกรรมของนักเรียนได้อย่างเหมาะสม จะทำให้ครูสามารถดำเนินการสอนได้อย่างเต็มที่โดยไม่เสียเวลากับการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของนักเรียน
        - การจัดการชั้นเรียนให้นักเรียนมีวินัยในการเรียนรู้และการอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้ออาทรโดยคำนึงถึงกฎระเบียบของชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง
         ดังนั้นจึงอาจสรุปความสำคัญของการจัดชั้นเรียนได้ว่า เป็นการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียน เพื่อกระตุ้น ส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้และสร้างเสริมผู้เรียนในด้านสติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคมได้เป็นอย่างดี 
องค์ประกอบของการบริหารจัดการชั้นเรียน
        1. องค์ประกอบด้านกายภาพ หมายถึง สิ่งอำนวยความสะดวกภายในชั้นเรียนจัดให้มีไว้อย่างเพียงพอ พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งประกอบด้วย โต๊ะ เก้าอี้ ทั้งของผู้เรียนและผู้สอน กระดานดำ บอร์ดสำหรับจัดนิทรรศการ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การจัดเตรียมการในด้านวัสดุอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นไว้อย่างครบถ้วน และมีคุณภาพดีพร้อมใช้งานตลอดเวลา
         2. องค์ประกอบด้านสังคม หมายถึง การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนในรูปแบบต่างๆ ตามกิจกรรมประกอบการเรียนการสอนในแต่ละรายวิชา ผู้สอนกับผู้เรียนได้ช่วยกันทำงาน ผู้เรียนทำงานกันเป็นกลุ่ม ผู้สอนสาธิตให้ผู้เรียนได้ศึกษาสังเกต
          3. องค์ประกอบด้านการศึกษา หมายถึง การจัดลำดับเนื้อหาสาระ ความรู้ให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน พร้อมทั้งให้ผู้เรียนมีกาสวางแผนการเรียนร่วมกับผู้สอน และให้ผู้เรียนได้ตระหนักในคุณค่าของความรู้ ความสามารถที่ได้รับจากผู้สอน หรือการศึกษาค้นคว้าตามที่ได้รับมอบหมายให้เต็มตามอัตภาพ ทั้งนี้ เนื่องด้วยการจัดการศึกษาในส่วนของการจัดการชั้นเรียนเป็นเป้าหมายสูงสุดในการเรียนรู้ คือ ให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ให้เป็นไปตามอัตภาพและผู้เรียนสามารถพัฒนาได้โดยให้ความสำคัญไปที่การบริหารจัดการชั้นเรียน เนื่องจากชั้นเรียนเป็นสถานที่อยู่ของผู้เรียนตลอดระยะเวลาของการมาเรียนที่โรงเรียน สำหรับองค์ประกอบด้านกายภาพและด้านสังคม เป็นส่วนส่งเสริม สนับสนุนให้องค์ประกอบด้านการศึกษาของผู้เรียนได้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน
  
สี่เสาหลักทางการศึกษา
          การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ยึดแนวทางการเรียนรู้ 4 แบบ ที่เป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิต มุ่งจัดการ
ศึกษาให้กับผู้เรียนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ ดังนี้
       1.การเรียนเพื่อรู้(Learning to know) หมายถึง การศึกษาที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้
การแสวงหาความรู้และวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต
       2.การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง(Learning to do) หมายถึง การศึกษาที่มุ่งพัฒนาความสามารถและความชำนาญ รวมทั้งสมรรถนะทางด้านวิชาชีพ กระบวนการเรียนการสอนบูรณาการระหว่างความรู้ ภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติงานที่เน้นประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากสภาพในท้องถิ่นหรือประเทศนั้นๆ หรืออาจเป็นการเรียนรู้ในระบบโรงเรียน โดยใช้หลักสูตรซึ่งประกอบด้วยการเรียนในภาคทฤษฎีสลับกับการเรียนฝึกปฏิบัติงาน
       3. การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกัน(Learning to Live Together)       หมายถึง การศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่างมีความสุข มีความตระหนักในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การแก้ปัญหาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี มีความเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเข้าใจความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ของแต่ละบุคคลในสังคม สอนให้เข้าใจผู้อื่นและตระหนักดีว่า มนุษย์เราจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดำเนินโครงการร่วมกันและเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ โดยชี้ให้เห็นว่าความหลากหลาย ความเข้าใจอันดีต่อกัน และสันติภาพนั้นล้ำค่าและคู่ควรแก่การหวงแหน
       4. การเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning to Be) หมายถึง การศึกษาที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกด้านทั้งจิตใจและร่างกาย สติปัญญา ให้ความสำคัญกับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ภาษา และวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีความรับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม ศีลธรรม สามารถปรับตัว และปรับปรุงบุคลิกภาพของตน เข้าใจตนเองและผู้อื่น สามารถปรับปรุงบุคลิกภาพของตนให้ดีขึ้นดำเนินงานต่างๆ โดยอิสระเสรียิ่งขึ้น

Thailand 4.0 and Education 4.0



Thailand 4.0 กับ Education 4.0





                   การที่ประเทศจะเป็น Thailand 4.0 ได้ ทุกอย่างต้องผ่านการวางแผนเพื่อสร้างสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่ดี และต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก เพราะกว่าจะเห็นผลต้องใช้เวลานาน เปรียบดั่งการปลูกต้นไม้ ที่จะต้องมีการเตรียมดินให้ดี มีเมล็ดพันธุ์ที่ดี และต้องเฝ้าดูแลรดน้ำพรวนดิน เพื่อให้ต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นมาได้ ทุกอย่างต้องใช้เวลาและต้องดำเนินงานหลายส่วนไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างนวัตกรรมในการขับเคลื่อนประเทศ ขณะนี้เราต้องกลับมาดูว่าสิ่งที่ผลิตกันอยู่เป็นนวัตกรรมหรือเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์เท่านั้น เพราะนวัตกรรมที่ถูกต้องจริงๆ ต้องสามารถขยายผลในเชิงพาณิชย์ได้
              สำหรับแนวทางสร้างนวัตกรรมด้านการศึกษาที่จะต่อยอดไปสู่การนำไปใช้นั้น ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแหล่งรวมคนเก่ง จึงสามารถสร้างนวัตกรรมได้ไม่ยากนัก ส่วนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มอบแนวทางแก่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไปแล้วว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เด็กสร้างนวัตกรรมได้ คือ การใช้รูปแบบนำเสนอโครงงานที่ใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาท้องถิ่น เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ ซึ่งจะทำให้เด็กสนุกกับการหาคำตอบ ชอบที่จะเรียน ชอบที่จะได้ปฏิบัติ จากนั้นให้ส่งผลงานมาประกวด หากผลงานใดผ่านเกณฑ์ก็จะสนับสนุนงบประมาณเพื่อนำไปผลิตใช้จริงในชุมชนนั้นๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความภาคภูมิใจให้กับเด็กด้วย

สังคมการศึกษา  4.0
เมื่อสภาพของประเทศที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อการศึกษาเเล้ว ดังนั้นจึงมีผลต่อสภาพสังคมทางการศึกษาด้วย เนื่องจากหลายปัจจัยที่เข้ามามีผลทำให้วิถีการศึกษาเปลี่ยนแปลงไป 

หมั่นเรียนรู้(Purposeful)




เรียนรู้การสร้าง(Generative Learning)



เรียนรู้การเอาใจใส่ (Mindful Learning)
เรียนรู้ตามผลลัพธ์(Result-Based Learning)


เพิ่มเติม
ที่มา : http://www.drborworn.com/articledetail.asp?id=16223
 http://planning2.mju.ac.th/goverment/20111119104835_planning/Doc_25590823143652_358135.pdf
http://www.thaigov.go.th/index.php/th/news-ministry/2012-08-15-09-39-20/item/106545-การศึกษาไทย-40-ในบริบทการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

สมาชิก กลุ่มที่ 2


สมาชิกกลุ่มที่ 2 
ชั้นปีที่ 3 สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป 
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
1. นายนก จีนเขตร์การ           รหัสนักศึกษา    5741060041
2. นายราชัน สินโพธิ์                     ''                 5741060043
3. นางสาวปิยะมาศ สองวงศ์          ''                5741060044 
4. นางสาวแพรวสุดา คำน้อย         ''                 5741060051
5. นางสาวอุมาพร ผจงศิลป์           ''                 5741060053
6. นางสาวไพรินทร์ ลักษณะศรี      ''                5741060057
7. นางสาวน้ำทิพย์ บุญสมัย           ''                5741060058
8. นายสิริวัฒน์ ศรีบุรุษ                   ''                5741060059
9. นางสาวมินตรา ในจิตร์               ''                5741060063 
10. นางสาวศิริพร อินศรี                 ''                5741060072
11. นายณัฐพงษ์ ฟักทอง               ''                5741060078